วันพฤหัสบดีที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

otaku

พอดีเห็นวอวี่เอาเรื่องนี่มาลงผมในฐานะที่เกือบๆจะเป็นโอตาคุ(แต่ยังไม่เป็นผมยังไม่ถึงขนาดนั้น...) ก็เลยขอเขียนตามความเข้าใจตัวเองลงไปละกัน...
-----------------------
Otaku อย่างที่หลายๆคนรู้กันคำนี้ดังเดิมแปลว่า"บ้าน"ที่มาของคำนี่ไม่ค่อยทราบเหมือนกัน(บางคนก็บอกว่ามาจาก อาการของคนที่หมกหมุ่นอะไรสักอย่างจนอยู่แต่ในบ้านไม่ยอมออกมาพบเพื่อนฝูง บางคนก็บอกว่ามาจากชื่อของอาชญากรที่บังคับให้เด็กหญิงคอสเป็นสาวน้อยสองมิติแล้วข่มขืนจนตาย(การ์ดแคปเตอร์ซากุระรึเปล่าไม่แน่ใจนะ...)บางคนก็บอกว่ามันมาจากเรื่องมาครอส ที่พระเอกของเรื่องชอบเรียกคนที่หมกหมุ่นกับอะไรสักอย่างว่าโอตาคุ...(อิจิโจ ฮิคารุนะเหรอ เนื่องจากไม่เคยดูไม่กล้าฟันธง) และอีกนาๆสาเหตุที่มา)
เอาละอย่างไรก็แล้วแต่คำ คำนี้ไม่ได้ใช้เฉพาะคนที่บ้าอนิเมชั่นหรือการ์ตูนอย่างเดียวหรอกนะมันหมายถึงคนที่หมกหมุ่นอะไรมากๆต่างหาก และหมกหมุ่นเกินขอบเขต (ประมาณไม่ออกมาสังสรรค์กับชาวบ้าน)แต่เรามักพบคนที่บ้าอนิเมชั่นและการ์ตูนเป็นส่วนใหญ่โอตาคุจึงถูกเหมารวมว่าเป็นคนเหล่านี้ไปโดยปริยาย(ทั้งๆที่จริงๆมันไม่ใช้นะ - -")
อย่างไรก็ดี...คำว่าโอตาคุเนี่ยมันเป็นคำในความหมายแง่ลบ ประมาณว่า"ไอ้บ้า"อะไรแบบนี้บางคนจึงไม่อยากถูกเรียกโอตาคุสักเท่าไรชอบให้เรียก"มาเนีย"(ประมาณว่าแฟนพันธ์แท้มากกว่า)
อดีตกาล(ใช้คำนี้เลยเหรอ) โอตาคุเป็นที่รังเกียจของสังคม แต่ปัจจุบันความเกลียดชังถูกลดทอนลงไปบ้าง ที่ญี่ปุ่นจึงมักพบเห็นเหล่าโอตาคุได้ส่วนใหญ่ในอากิบาฮาระ
ภาพลักษณ์ของโอตาคุละคืออะไร? โดยทั่วๆไปแล้วเป็นที่เข้าใจตรงกันสากลทั่วโลกอิมเมจทั่วๆไปของโอตาคุก็คือตัวอ้วนๆ ใส่เสื้อลายอนิเมะสะพายกระเป๋าลายอนิเมะ หน้าไม่หล่อและอาจจะใส่แว่น... แต่ตามความจริงโอตาคุไม่จำเป็นต้องอย่างงั้นเสมอไปหรอกนะหน้าหล่อๆสวยๆก็อาจจะเป็นได้(รวมถึงหัว"เกรียน"ด้วย กร้ากๆๆๆ)
มีหลายต่อหลายคนเข้าใจความหมายของคำนี้ผิดนึกว่าเป็นคำที่ใช้เรียกคนที่มีความรู้เรื่องการ์ตูนสูงจนน่านับถือ เป็นความเข้าใจที่ผิดสุดๆเลยครับ ใครที่คิดแบบนั้นอ่านบทความนี่แล้วเปลี่ยนความคิดนะครับ เพราะมันเป็นการมองภาพโอตาคุที่ไม่ใช้ความจริงแม้แต่นิดเดียวและอาจจะเกิดปัญหาขึ้นเวลาไปพูดคุยกับที่เข้าใจความหมายของคำนี่คนละแบบ
บางคนก็สับสนระหว่างโอตาคุกับ ฮิคคิโคโมริ จริงๆคนสองกลุ่มนี่ต่างกันมากๆ(ไม่สิโคตรมากๆกว่า) บางคนบอกว่าเป็นโอตาคุจะมาเป็นฮิคคิโคโมริ...ก็จริงแต่ไม่จำเป็นต้องเป็นโอตาคุก็เป็นฮิคคิโคโมริได้....(ต่อไปขอเรียกฮิกกี้ละกัน พิมพ์ง่ายดี)
อย่างน้อยๆโอตาคุแม้จะเข้าสังคมกลับคนปกติไม่ได้แต่ก็มีเพื่อนเป็นกลุ่มโอตาคุไปงานการ์ตูน และบางคนกลางวันยังเป็นมนุษย์เงินเดือนซึ่งอย่างน้อยๆก็ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไปด้วยในตัว...แต่ฮิกกี้คือคนที่ล้มเหลวในชีวิตกลัวการเข้าสังคมนะครับ ใช้ชีวิตอยู่แต่ในบ้าน ในห้องไปวันๆโดยไม่ทำอะไรบางคนก็อาจจะมีชีวิตอยู่ในไซเปอร์เสปซ ไม่ก็ติดเกมออนไลน์...เอาง่ายๆคือพวกที่ไม่ทำงานทำการนั่นและ...เป็นปัญหาสังคมอันดับหนึ่งถ้าอยากรู้ชีวิตฮิกกี้ขอแนะนำการ์ตูนเรื่อง "NHK สมาคมคนหนีโลก"ของสยามอินเตอร์คอมมิคครับ และจะได้รับรู้ชีวิตอันน่า(อนาถ)ของเหล่าฮิกกี้ (แต่ต้องทำใจกับมุขเสื่อมๆและตลกร้ายที่สุดแสนจะน่ากลัวและความอนาถเอาไว้ให้ดีนะ แต่บอกตามตรงพระเอกเรื่องนี่สุดยิดจริงๆมีความเป็นคนมากๆครับ(มันการ์ตูนปัญหาสังคมนี่หว่าไม่เหมือนคนมันก็ไม่ได้แล้ว)แต่ที่พบว่าสุดยอดเพราะพระเอกมันมีส่วนคล้ายผมนะสิ...วางใจครับผมยังไม่เป็นฮิกกี้หรอกตราบใดที่พ่อกับแม่ของผมยังถีบผมไปร.รอยู่เสมอๆ)
จบเรื่องฮิกกี้ไว้แค่นี้มาดูโอตาคุของเรากันต่อ... ส่วนมากโอตาคุหมดเงินไปกับอะไรนะเหรอ?ลืมได้เลยว่าเขาจะเอาตังค์ไปซื้อรถ,เครื่องสำอาง,เสื้อผ้าหรูๆ พวกเขามักหมดเงินไปกับสินค้าจากอนิเมทต่างๆนาๆไม่ว่าจะฟิกเกอร์ หมอนข้าง ชุดคอส มีแม้กระทั่งก.ก.นของตัวละครในอนิเมะ.... - -"
ต่อไปเป็นมุมมองของคนเขียนล้วนๆละนะครับ
โอตาคุก็คล้ายๆกับสโตกเกอร์นั่นและครับ...(ตามเก็บสินค้าของสาวน้อยสองมิติ สูบรูปภาพของพวกเธอ... แน่นอนบางทีเอาก.ก.นสวมหัวยังมีเลย)แบบนี้ไม่เรียกสโตกเกอร์แล้วจะเรียกว่าอะไรล่ะครับแต่ยังดีครับ...ที่โอตาคุจริงๆนั้นไม่สนคนจริงๆเท่าไร(เว้นโอตาคุดารา - - เอ่อที่ผมพูดถึงนี่กรณีโอตาคุอนิเมทล้วนๆครับ)เพระงั้นการเป็นสโตกเกอร์ของพวกเขาไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน...(จริงๆนะอย่างมากชาวบ้านก็มองว่าบ้าแต่เขาก็ไม่ได้ไปฆ่าใครสักหน่อย(เว้นพวกเป็นโอตาคุแล้วก่อเหตุ - - อันนั้นมันส่วนน้อย)ไม่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจก็ไม่ถูกเพราะกลางวันพวกเขาก็มนุษย์เงินเดือน(ไม่งั้นจะเอาเงินที่ไหนมาซื้อฟิกเกอร์เหล่า)แถมยังทำให้อุตสาหกรรมด้านนี้มีเงินไหลเวียนอีกด้วย แล้วถ้าบอกว่าไม่ผลิตประชากรล่ะ นั้นก็พูดไม่ได้เพราะโอตาคุอนิเมทยังมีส่วนน้อยพวกเขาไม่เพิ่มประชากรก็จริงแต่คนพวกนี้กลุ่มเล็กๆไม่ส่งกระทบต่อภาพรวมเท่าไรหรอกครับ...ไว้ถ้าคนเป็นโอตาคุราวๆ20%ของประเทศค่อยคุยประเด็นนีกันอีกครั้งนะครับ...อีกอย่างที่ญี่ปุ่นที่ดินแพงมากๆครับคิดว่าประเทศเขาคงไมได้อยากจะเพิ่มประชากรกันซักเท่าไรหรอกครับแต่ผมไม่แน่ใจนะครับ~)
ถ้าจะบอกว่าแล้วข่าวไม่ดีเกี่ยวกับโอตาคุที่ออกมาล่ะ...ก็ขอตอบว่ามีขาวก็ต้องมีดำครับมีคนดีก็ต้องมีคนชั่ว เพราะงั้นให้ดูที่ภาพร่วมครับ...อย่างโอตาคุสัก100คนก่อเหตุ2-3คนก็ยังไม่เท่าไรแต่ถ้าก่อเหตุสัก20-30คนนี่ก็ค่อยมาว่ากันอีกทีครับ แต่ก็เป็นธรรมดาของโลกและครับไอ้เรื่องดีๆนะมนุษย์ลืมง่าย แต่ไอ้เรื่องแย่ๆอะคนจำนาน - -"(รึท่านจะเถียง?)เอาง่ายๆข่าวในหนังสือพิมม์หน้าแรกๆเรื่องดีๆยังไม่ค่อยจะเห็นกันเลยครับ มีแต่ข่าวฆาตกรรมบ้างคดีข่มขืนบ้าง ข่าวสร้างสรรค์บางทีไปอยู่หน้าหลังๆ...และพอมีเรื่องอะไรกันขึ้นหน่อยก็ชอบเหมาร่วมทั้งๆที่จริงๆแล้วมันมีถึง1%รึเปล่าก็ยังไม่รู้
ทำไมคนถึงเป็นโอตาคุ...เอาประสบการณ์จริงมาตอบละกัน...
ผมคิดว่าที่คนเป็นโอตาคุเพราะผิดหวังกับชีวิตครับ อย่างบางคนชอบผู้หญิงแต่ไม่กล้าเข้าไปคุย(รูปร่างไม่ดี พูดไม่ถูกหรือมักเป็นคนที่จะต้องถูกทำให้อับอายต่อหน้าสาธารณะเสมอๆเป็นต้น)ก็ทำให้พวกเขาเกิดปมด้อยขึ้นในใจปิดกันตัวเอง อย่างบางคนถูกรังแกมาตลอดไม่มีเพื่อนอะไรคือทีพี่งของเขาละครับ...เอาง่ายๆผมจะยกตัวอย่างเด็กคนหนึ่ง(ไม่ใช้ผมหรอกนะเพระประเด็นผมซับซ้อนกว่านี้เยอะ) เด็กคนนี่หน้าตาไม่ดี ไม่มีเพื่อนและมักถูกรังแกเป็นประจำเขาแอบชอบผู้หญิงคนนึงแต่ไม่กล้าเข้าไปคุยด้วย...เขาพยามรวบรวมความกล้าสารพรักออกไปแต่ถูกตอกกลับมาแบบไร้เยื่อใย...เด็กคนนั้นเศร้ามากและบังเอิญไปเปิดหนังสือการ์ตูนเรื่องนึงขึ้นมาและเขาก็ได้เห็นภาพเด็กหญิงคนนึงที่กำลังบอกตัวเอก(แน่นอนไม่ได้เรื่องคล้ายๆเขานั่นและ)ว่า"ไม่ต้องห่วงนะฉันจะอยู่กับเธอเสมอเสริมประโยคด้วยรอยยิ้มที่งดงาม...คิดเอาละกันครับจะรู้สึกยังไง เด็กหนุ่มคนนั้นหลงรักสาวน้อยคนนั้นเข้าเต็มเป้า แน่นอนสาวน้อยสองมิติจะยิ้มให้เราเสมอ จะไม่หักหลังเรา ไม่เรียกร้องอะไรจากเราเลย บางครั้งที่คนกลายมาเป็นโอตาคุอาจจะเพราะเหตุผลง่ายๆคือ"หาสิ่งที่ต้องการแต่ไม่เคยได้รับ"มานั่นและ....
หลายคนอาจจะบอกว่ามันเป็นการหลอกตัวเอง สักวันมันก็ต้องหายไป สิ่งเหล่านั้นไม่มีจริงก็ต้องขอยอมรับครับที่พูดเนี่ยมันจริงแต่ก็ขอยืนยันต่อไปว่า"ตราบใดที่ยังใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างปกติและไม่ทำให้ใครเดือดร้อน จะเป็นโอตาคุก็ไม่มีใครว่า"
สิ่งสำคัญคือแบ่งโลกให้ถูกครับเวลาเจอผู้คนอยู่ในโลกแห่งความจริงเวลาส่วนตัวอยู่ในโลกแห่งความฝัน แค่นี้ก็ได้แล้วครับ...แต่โอตาคุส่วนมากแยกไม่ค่อยออกนะสิ...(แต่บางคนก็ออกนะ - - อย่างกลางวันเป็นมนุษย์เงินเดือนไง)
แล้วถามว่าแล้วค่านิยมล่ะ มีเพื่อนเป็นโอตาคุจะเป็นโอตาคุด้วยมั้ย? ก็ขอตอบครับว่า"ยากมาก"เนื่องจากคนกลุ่มนี่ยังมีน้อยในสังคมบ้านเรา อย่างเช่นเด็กมัธยมนั้นในโรงเรียนนึงจะมีโอตาคุสักกี่คนครับ บางโรงเรียนก็ไม่มีซะด้วยซ้ำแล้วค่านิยมในปัจจุบันนั้นจะมองคนที่เป็นโอตาคุทำนอง"ไอ้บ้า"ตามความหมายของชื่อและครับ
เฮ่อ~ เมื่อย

วันจันทร์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

ความรักของเรา3คน

ผมเป็นผู้ชายที่หลงรักผู้หญิง พร้อมกันสามคนครับ รักมาก . . . รักจนไม่รู้ว่า ผมรักใครมากกว่าใคร ... รู้แต่ว่าผม ... ไม่สามารถเลือกใคร เพียงคนหนึ่งคนเดียวได้ ไม่สามารถขาดใครคนหนึ่งคนใดได้ ผู้หญิงคนแรก เป็นคนที่คอยดูแล เอาใจใส่ ห่วงใยผมเสมอ ผมรู้ว่าเธอรักผม มากกว่าชีวิตของเธอเสียอีก หลายปีมาแล้ว ที่เธอทำงานหนักเพื่อผม ทำงานหนักยิ่งกว่าคนรับใช้ผมเสียอีก แม้บางครั้งเธอดูจะจู้จี้ขี้บ่นไปบ้าง . . . แต่ทั้งหมดทั้งสิ้น ผมรู้สึกได้ด้วยหัวใจว่า . . . ผมเป็นคนที่เธอรักที่สุดในโลก ถึงแม้ว่าในนาทีนี้ เราจะอยู่ห่างไกลกันบ้าง . . . แต่เธอ . ยังอยู่ในหัวใจของผมเสมอ ผมยังจำอ้อมกอดอันอบอุ่นของเธอ สายตาอันอ่อนโยน . . . หัวใจที่พร้อมจะร้องไห้ เมื่อเวลาที่ผมเจ็บปวด ผู้หญิงคนที่สอง เป็นคนที่ผมใกล้ชิดที่สุดคนนึง ในวันนี้ . เธอเป็นกำลังใจให้ผมต่อสู้ เป็นที่ปรึกษา เวลาที่ผมมีปัญหา เป็นคนที่ผมยอมที่จะแสดงความอ่อนแอออกมาให้เห็น. . . เธอเป็นคนแรกที่จะยื่นมือมาดึงให้ผมลุกขี้นในวันที่ผมพลาดล้มลง และเมื่อผมเงยหน้ามาสบตากับเธอ ผมก็จะรู้ในทันทีว่า ผมจะต้องสู้ต่อไป ผู้หญิงคนที่สาม ร่าเริง บริสุทธิ์ ดวงดาอันซุกซนของเธอ ทำให้ผมมีรอยยิ้มได้เสมอ แม้ในเวลาที่แสนเหน็ดเหนื่อย ผมรู้สึกถึงการมีความสุขที่สุดในโลกเมื่อมีเธออยู่ในอ้อมกอด ผมชอบแอบมองเธอเวลาเธอนอนหลับ ชอบแอบสูดดมเส้นผมของเธอ กลิ่นยาสระผมจาง มันทำให้ผมมีความสุขเหลือเกิน เธอเป็นคนที่ทำให้ผมรู้สึกแทบตายเมื่อเห็นเธอเจ็บปวด คำพูดเพียงคำสองคำของเธอ สามารถทำให้โลกทั้งโลกสว่างสดใสอย่างไม่น่าเชื่อ ในความรู้สึกของผม ผมคงรู้สึกว่า ผมเป็นคนที่มีความสุขที่สุดในโลกได้ . . . ถ้าวันนึงผมกลับมาถึงบ้าน แล้วพบเธอทั้งสามคน อยู่ในบ้านผมพร้อม ๆ กัน ผมคงเป็นคนที่มีความสุขที่สุดในโลก ที่ได้ยินเพียงคำพูดบางคำ " หิวมั๊ยลูก " ... " เหนื่อยมั๊ยค๊ะที่รัก " .. " หนูคิดถึงพ่อค่ะ "

ความรัก

"วันนี้...เราอาจจะรู้สึกผูกพันต่อสิ่งหนึ่ง...จนเราคิดว่าเราขาดไม่ได้...แต่เวลาจะทำให้ทุกอย่างเปลี่่ยนแปลงไป
สักวัน...เราจะรู้ว่า สิ่งที่เราผูกพันในวันนี้ เป็นแค่ส่วนหนึ่งที่เติมชีวิตชีวา ไม่ใช่...ทั้งหมดของชีวิตเรา
วันหนึ่ง...หากเรามีโอกาสได้เจอสิ่งที่ถูกใจสิ่งใหม่ ที่เราคิดว่าเราพึงใจ...ปราถนา...ต้องการ...ขาดไม่ได้
เราก็จะเริ่มผูกพันกับสิ่งใหม่ได้ในเวลาไม่นานนัก... เมื่อเวลาหนึ่งผ่านไป...จะสอนเราได้เองว่า...
ความผูกพันกับสิ่งใดๆในช่วงเวลาหนึ่ง จะเป็นความสุขเวลานั้น อย่าไปยึดติด...อย่าได้ไปใช้ชีวิตทั้งชีวิตลุ่มหลง
คิดเสียว่า...เราโชคดี...ที่มีโอกาสได้ผูกพันกับสิ่งที่เรารัก ความรักผูกพันก็เหมือนกับความรักหรืออาจจะเป็นผลพวงที่มาจากความรัก
หากเรารักใครคนใดคนหนึ่งมาก เราก็จะมีรู้สึกว่า...ผูกพันมาก แต่ความผูกพันที่ว่า... ไม่ได้หมายถึงการหยุดตัวเอง...ไว้กับสิ่งนั้นๆ
เพราะคนเราทุกคนย่อมผูกพันกับหลายๆสิ่ง เปรียบเทียบเสมือน...เรามีน้ำอยู่แก้วหนึ่งใบ
ในยามเช้า...เราอาจต้องใช้แก้วใบนี้ดื่มนม พออากาศร้อนหน่อย เราอาจต้องการน้ำเย็นๆ บางครั้งเราอาจไม่สบาย เราอาจต้องการน้ำอุ่น
ใจเราก็เหมือนแก้วน้ำ...ต้องเติมสิ่งต่างๆในเวลาที่แตกต่างกัน ตามความเหมาะสม...
หากเราเติมน้ำเย็นลงไปในแก้วน้ำ แล้วเติมน้ำร้อนลงในทันที ในแก้วใบเดียวกัน เราก็อาจจะพบว่า...แก้วใบนั้นก็จะร้าว
แล้วก็เริ่มแตก... ซึ่งก็เหมือนใจเรา ความผูกพันธ์ต่อสิ่งหนึ่งสิ่งใด ในช่วงเวลาหนึ่ง... ไม่ผิด ถ้าเราค่อยๆปรับใจ ปรับตัวของเราเอง

***โอกาสได้ผูกพัน...ซึ่งก็เหมือนเรามีโอกาส...ได้รักนั้นเอง***