วันอาทิตย์ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2552

เพลง


โค้ดHi5 โค้ดเพลงHi5ชีวิตที่ผ่านน้ำคุยสด

anime

ศัพท์ต่างๆเกี่ยวกับ Anime
Anime (อนิเมะ) - ย่อมาจากอนิเมชั่น หมายถึงภาพเคลื่อนไหว ถ้าเป็นประเทศอเมริกาจะใช้คำว่า Cartoon
OVA (โอวีเอ) - Original Video Animation เป็นพวก Anime ที่ไม่ฉายทาง TV แต่ทำ VCD / DVD ขายเลย
Manga (มังหงะ) - หมายถึงหนังสือการ์ตูน ถ้าเป็นประเทศอเมริกาจะใช้คำว่า Comic
Doujin, Doujinshi (โดจินชิ) - ของทำมือ เช่นการ์ตูนทำมือ ซอร์ฟเกมส์สร้างเอง พวงกุญแจ ฯลฯ แต่มักใช้หมายถึงการ์ตูนทำมือ โดจินพวกนี้มักจะมีราคาแพงเพราะทำออกมาจำกัด มีหน้าปกและกระดาษอย่างดีถ้าพวกที่ซีร็อกซ์เอาจะถูกหน่อย แต่จำนวนหน้าและลายเส้นไม่ได้ดีกว่าพวกการ์ตูนเล่มละ 40 เลย หลังๆถ้าพูดถึงโดจินมักจะถูกเหมารวมว่าเป็นการ์ตูนโป๊(H-Doujin) ซะมากกว่า
Figure (ฟิกเกอร์) - โมเดลลงสีสำเร็จราคาแพงขนาดใหญ่ ส่วนมากราคาตกประมาณ 1500 บาทขึ้นไป
Kachapong (กาจาปอง ) - มาจากคำว่า "กาจ๊าง เสียงตอนโมเดลบรรจุไข่ตกลงมา " เป็นฟิกเกอร์ลงสีสำเร็จบรรจุไข่ ราคาถูกกว่าฟิกเกอร์ประเภทข้างบนมาก ตกลูกละ 80 บาท มีเป็นชุดชุดละประมาณ 5-6 ตัวบางชุดจะมีตัวลับซ่อนอยู่ด้วย
Cosplay (คอสเพลย์) - ย่อมาจากคำว่า Costume Playing หมายถึงการแต่งตัวเลียนแบบตัวละครหรือตัวการ์ตูนต่างๆที่ชื่นชอบการคอสเพลย์โดยการห้ อยผ้าขนหนูสีเหลืองบริเวณลำคอ หรือถือดาบที่ทำเองอย่างเดียวเดินร่อนรอบงาน ถือว่าเป็นปมด้อยของผู้คอสนั้นๆ (ความเห็นส่วนตัวของข้าพเจ้า ) - ทุนน้อย,ไม่กล้า - อ่อน
Coslover (คอสเลิฟเวอร์) -มีความหมายเหมือนเลเยอร์ทุกอย่าง แต่จะใช้กับพวกหน้าตาไม่ดี บางทีหน้าตาบางคนอาจจะเหมือนแรงงานอพยพแต่อยากแต่งคอสเป็นพระเอกนางเอกของเรื่องที่ต ัวเองชื่นชอบ
Layer (เลเยอร์) - ย่อมากจาก Cosplayer แปลว่านักคอสเพลย์ จะคอยไปคอสเพลย์ตามงานการ์ตูนเพื่อให้คนอื่นจำได้ (ครั้งสองครั้งจึงไม่นับว่าเป็น Layer) ส่วนใหญ่เป็นพวกฐานะดีบ้านมีอันจะกิน เพราะชุดคอสราคาแต่ละชุดส่วนมาก 1000 บาทขึ้นไปและไม่ค่อยซ้ำในแต่ละงาน
Idol (ไอดอล) - คำแสดงยศชั้นสูงของเลเยอร์ เมื่อคอสเพลย์หลายๆครั้งเข้าจนคนจำได้และ + กับมีหน้าตาดีกว่าปกติ จะได้เลื่อนยศมาเป็น Idol ได้
Gardian (การ์เดี้ยน) - องครักษ์พิทักษ์ไอดอล มีทั้งแบบร้องขอและแบบไม่ร้องขอ โดยอย่างหลังส่วนมากเป็นพวกโอตาคุชายโรคจิต ที่ชื่นชอบเป็นแฟนคลับของไอดอลคนนั้นๆ
Pramool Webboard (ประมูลเว็บบอร์ด) - แหล่งพูดคุย(สื่อสาร)อีกแหล่งของโอตาคุ เป็นลักษณะค่อนข้างสาธารณะ โดยแบ่งเป็นห้องๆให้คนมาตั้งหัวข้อเรื่องต่างๆ เพื่อมาพูดคุย แสดงความคิดเห็น รวมทั้งทะเลาะระหว่างสมาชิกบอร์ดด้วยกัน
Tirkx (ตุรกี) - แหล่งรวมอนิเมะโหลดตรง กรุณาอย่าเผยลิงค์ในที่สาธาระ!
Fansub (แฟนซับ) - การ์ตูนแปล, สิ่งผิดกฏหมายที่ทำให้ถูกต้องโดยการเอามาเผยแพร่ในประเทศที่ไม่มีลิขสิทธิ์
License (ไลเซ่น) - ลิขสิทธิ์, คำศัพท์ใช้แสดงความเป็นเจ้าของ โดยเจ้าของจะสามารถทำกับมันอย่างไรก็ได้ ซึ่งที่ทำให้คนทั่วไปอดดู และหันไปสั่งตรงจากต่างประเทศ
Pirate (ไพเรท) - ของไม่มีลิขสิทธิ์ ของขโมยมา ถ้าเป็นหนังสือการ์ตูนหน้าปกมักจะยั่วยุกามรมณ์แต่ข้างในต๊ะติ๊งโหน่ง
Spoiler (สปอยล์เลอร์ หรือ สปอยล์) - การเล่าเรื่อง การเล่าฉากสำคัญๆ ก่อนที่จะรู้
ปาหมอน - ฉากจบในตำนานของการ์ตูนเรื่อง ชาร์แมนคิงที่อุตส่าห์แต่งมาตั้งนาน สนุก และมีรวมเล่มเป็นสามสิบสี่สิบเล่ม แต่ตอนจบดันจบแบบไม่เคลียร์ ด้วยการ ปาหมอน ในตอนสุดท้าย
ไนซ์โบ๊ท (Nice Boat) - มาจากอนิเมะเรื่องสคูลเดย์ในเวลาก่อนที่จะฉายตอนสุดท้ายนั้นมีเหตุฆาตกรรมลูกสาวฆ่าพ่อด้วยการจามขวานที่คอ จึงทำให้ผู้ฉายคิดว่า อาจจะโดนข้อหาเป็นเหตุยุยงให้เกิดอาชญากรรมขึ้นมา เลยจัดการแก้ปัญหาโดยการเอาภาพเรือมาให้ดูแทน
VCD - สื่อรูปแบบหนึ่งที่นำออกมาขายเพื่อทดลองว่าจะทำออกมาเป็น DVD ดีหรือเปล่า, สื่อราคาถูกสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการการ์ตูนโดยไม่ใส่ใจการพากย์และคุณภาพมากนัก
DVD -สื่อรูปแบบหนึ่งที่โอตาคุยอมเสียเงินมากกว่า 3 เท่าของ VCD เพื่อเอาเสียงพากย์ต้นฉบับภาษาญี่ปุ่น แน่นอนว่าคุณภาพของภาพและเสียงย่อมดีกว่า VCD เช่นกัน
Censored (เซ็นเซอร์) - การปิดบังซ่อนเร้น เหยื่อที่โดนมักเป็นหนังสือและVCDการ์ตูน
Shonen (โชเน็น) -การ์ตูนผู้ชายทั่วๆไป
Shojo (โชโจ) - การ์ตูนผู้หญิงทั่วๆไป
Holy (โฮลี่) - ตัวอักษรภาษาอังกฤษที่ใช้ย่อแนวของการ์ตูนประเภทต่างๆ หลักๆคือ 4 ตัวนี้ ( 4 ธาตุหลักสายพลัง H - O - L - Y)
E Ecchi(เอ็ตจิ) - ลามกเล็กๆ ทะลึ่งหน่อยๆ
H Hentai (เฮ็นไท)) -โรคจิต, ลามก ใช้เติมสรรพนามเพื่อเพิ่มความหมายคำว่าโป๊ เช่น H-Doujin (โดจินโป๊), H-Anime (การ์ตูนโป๊), H-Game (เกมส์โป๊) ฯลฯ
ฺBitshoujo (บิทโชโจ) - เป็นเกมแนวเกมสาวน้อยน่ารัก แต่บางเกมมีภาพที่ไม่เหมาะสมกับเยาวชน ดังนั้นจึงมีบางเกมถูกควบคุมให้ขายเฉพาะคนที่อายุเกิน 18 ปี เท่านั้น ซึ่งถือว่าเป็นผู้ใหญ่ ซึ่งสามารถที่จะแยกแยะและควบคุมตัวเองได้
Tentacle (เทนตาเคิล) -ผู้ที่ชอบพวกประเภทหนวดๆ สิ่งที่เป็นเส้นๆ ทั้งหลายแหล่ มักจะปรากฏอยู่ในเกมส์โป๊ เพื่อข้อมูลปกปิด
Ren-Ai(เรนไอ) - เกมส์จีบสาว, H-เกมส์ แม้จะผิดกฏหมายแต่โอตาคุชายก็เต็มใจที่จะหามาในครอบครอง และหาเหตุผลอันชอบธรรมในการเสพ
Rape (เรพ) - พวกที่ชอบการข่มขืนกระทำชำเราประเภทฉีกเสื้อผ้า
Wet (เว็ท) - สายนี้จะชอบแนวความเปียกชื้นเปื้อนเปรอะเลอะไปทั้งหน้าและตา ( อะไรเปียกๆ -*- น้ำอะไรหว่า... )
O Obacon (โอบาคอน) - ผู้ที่ชอบคนที่มีอายุมากกว่า, นมโต --- Ojicon (โอจิคอน) ผู้ที่ชอบชายแก่ ตรงข้ามกะ Shotacon
L Lolicon (โลลิคอน) - ชอบเด็กหญิง ถ้าอายุจัดอยู่ในเกณฑ์โดนข้อหาพรากผู้เยาว์ให้จัดอยู่ในหมวดนี้ (แต่ก็มีคนจัดเกณฑ์ว่า จะอยู่ที่อายุ10 - 14 ปี หรือ หญิงสาวที่มีความสูงไม่เกิน 150 - 155 ซ.ม. รูปร่างขนาดไม่เกี่ยวขอให้น่ารัก )
Lolita (โลลิต้า) - พวกนิยมชุดสาวน้อยสีหวาน แนวๆ คุณหนูไฮโซ ประมาณยุคอังกฤษสมัยศตวรรษที่ 18-19 เช่นกัน มีโบว์และพู่ฟ่องๆ เยอะๆ บางพวกนิยมนำมาผสมกับข้างบน ออกมาเป็นคุณหนู... (ปัจจุบันมีคนสับสนระหว่าง Gothic กับ Lolita กันเยอะ คนละอย่างนะจ๊ะ)
Gothic (โกธิค) - พวกเป็นปลื้มกับสีทึบๆ เป็นพิเศษ ส่วนใหญ่จะเน้นอยู่ที่ ขาว ดำ แดง
Shotacon (โชตะคอน) - ชอบเด็กชาย ถ้าอายุจัดอยู่ในเกณฑ์โดนข้อหาพรากผู้เยาว์ให้จัดอยู่ในหมวดนี้เช่นกัน
Y - รักร่วมเพศ แบ่งออกมาอีก 2 ประเภทคือ
Y Yaoi (ยาโอย) - กลุ่มสงวนพันธุ์ป่าไม้(เดียวกัน) ง่ายๆ ชอบพวกชอบเพศเดียวกันชาย แบ่งสายได้ 2 สายคือ
- Seme YAOI (เซเมะ y สายรุก) เรียกสั้นๆ ว่าเมะ ชอบเข้าทางข้างหลัง
- Uke YAOI (อุเคะ y สายรับ) เรียกสั้นๆ ว่าเคะ ชอบถูกกระทำทางด้านหลัง
Shonen-ai (โชเน็นไอ) ความรักบริสุทธิ์ระหว่างชายกะชาย [ไม่ติดเรท] - จัดอยู่ในสายขาวนะ
Y Yuri (ยูริ) - สมาคมอนุรักษ์ดนตรีไทย ง่ายๆ ชอบพวกชอบเพศเดียวกันหญิง แบ่งได้ 2 สายเช่นกัน
- Seme YURI (เซเมะ y สายรุก) เรียกสั้นๆ ว่าเมะ ชอบแสดงตัวเป็นชาย
- Uke YURI (อุเคะ y สายรับ) เรียกสั้นๆ ว่าเคะ ชอบถูกกระทำโดยเพศเดียวกัน
Shojo-ai (โชโจไอ) ความรักบริสุทธิ์ระหว่างหญิงกะหญิง [ไม่ติดเรท] - จัดอยู่ในสายขาวเช่นกันแม้จะผิดกฏหมายแต่โอตาคุหญิงก็เต็มใจที่จะหามาในครอบครอง และหาเหตุผลอันชอบธรรมในการเสพ
JIN (จิ้น) -มาจากคำว่า Imagine(อิเมจิ้น) แปลว่าจินตนาการ ใช้กับวงการ Y โดยผู้ใช้สามารถจิ้นให้ตัวละครนึงไปมีอะไรกับตัวละครเพศเดียวกันทั้งๆ ที่เนื้อเรื่องหลักจะไม่ได้มีอะไรกันเลยได้
Harem (ฮาเร็ม)- สายนี้จะเป็นพวกชอบอยู่ห้อมล้อมด้วยสาวๆ สวยน่ารักมากมายแถมด้วยทุกคนมารุมรักอีก - เช่น เนกิมะ
SM Sadism&masokism - กลุ่มคนที่นิยมใช้ โซ่ เทียน แส้ กุญแจมือ ม้าไม้ โดย Sadism คือผ่ายชอบทำร้ายผู้อื่น และ Masokism คือฝ่ายที่ชอบถูกทำร้าย
GuRo (กูโระ) - พวกที่ชอบการชำแหละ เลือด ฆ่า เครื่องใน ไส้
Psycho (ไซโค) - ความหมายตรงตัวหมายถึงพวกที่โรคจิตๆเล็กน้อยถึงปานกลางอีกความหมายหนึ่งหมายถึงพวกพลังจิตร คาแรคเตอร์พวกโรคจิตรอ่อนๆนี้อาจไม่พบเห็นได้มากนัก ยกตัวอย่างที่ดังๆก็เช่น L แห่งเดธโน๊ต เขาคนนี้ก็ติดเชื้อ P เหมือนกัน ส่วนคาแรกเตอร์มนุษย์พลังจิตร เช่น สามพลังป่วนพิทักษ์โลก(ไอ้นี้พลังจิตรทั้งเรื่อง) ไซโคบลาสเตอร์(ไอ้นี้พลังจิตรทั้งเรื่อง) โคอิทซึม(ฮารุฮิ) ไซโครเมทเรอ เอย์จิ(ไอ้นี้พลังจิตรทั้งเรื่อง)
Mahou (มาโฮะ) - กลุ่มคนที่ชอบสาวน้อยเวทมนต์ - อันนี้แน่นอนโดเรมี และ นาโนะฮะ (ซึ่งมิได้หมายถึงโดเรมี่จากเรื่องโดเรม่อนแต่อย่างใด)
Robot(โรบอท )-กลุ่มคนที่บ้าความเป็นเครื่องจักรกลอย่างเข้าไส้ ซึ่งสามารถที่จะบอกรุ่นความสามารถสรรถนะของหุ่นทุกตัวในโลกออกมาได้ ซึ่งสายนี้ค่อนข้างแยกได้ชัดโดยมี กันดั้ม เป็นผู้นำลัทธิ รองลงมาคือ เอวังเกย์เหลี่ยม - เรียกอีกอย่างว่า Mecha (หุ่นยนต์)
-Real Robot (เรียลโรบอท) หุ่นยนต์ที่อิงถึงหลักความเป็นจริงในทางวิทยาศาสตร์
-Super Robot (ซูปเปอร์โรบอท) หุ่นยนต์ที่ไม่อิงหลักความเป็นจริงทางวิทยาศาสตร์ เช่นมีพลังอภินิหาร แปลงร่างได้ ประกอบร่างได้ เป็นต้น
Computer - พวกชอบแนวคอมพิวเตอร์ที่คล้ายๆ กับมนุษย์ (ตูก็ชอบ) อาจเป็นหนุ่มสาวหน้าตาดีด้วย มีทั้งเป็นโปรแกรม และเป็นตัวเป็นตนในโลกความจริง - เช่น Chobits และ AI love (ดูเหมือนคอมชายจะไม่ค่อยมี)
Silent (ไซเลนท์) - สายนี้จะเป็นพวกที่ชอบตัวละครพูดน้อย ไม่พูดเลยยิ่งชอบ (แต่ไม่ได้เป็นใบ้นะ - -)และส่วนมากสายนี้ก็จะทำหน้าตาเหมือนคนอมทุกข์ ไม่ค่อยแสดงสีหน้าออกมาให้เห็น (หรือเรียกว่าหน้าตายก็ได้)
Maid (เมด) -กลุ่มคนที่ชอบชุดสาวใช้ สาวเสิร์ฟ ชุดเมด อะไรก็ได้ที่มีผ้ากันเปื้อน หรืออาจจะมีแต่ผ้ากันเปื้อนก็ได้ ชุดส่วนใหญ่เอามาจากยุคอังกฤษสมัยศตวรรษที่ 18-19
Miko (มิโกะ) -กลุ่มอนุรักษ์นิยมที่ชอบสตรีในชุดขาวแดง (มิโกะ เป็น ผู้รับใช้พระเจ้าเป็นผู้หญิงที่ทำหน้าที่ดูแลศาลเจ้า) บางครั้งมีการเพี้ยนออกไปในรูปแบบของชุดนักบวชในศาสนาอื่นก้อมีอยู่บ้างประปราย เช่น ชีเปลือย
Chounyou(โชเนียว) - พวกนิยมผู้หญิงโนตมๆ โนตมจริงๆ นะ ไม่เห็นกับตาไม่รู้หรอก - -" มักอยู่ควบคู่กับ H บางทีอาจจะเห็นว่ามีการวาด fanart แนว C ตามเว็บ H (ซึ่งมันแน่นอนอยู่แล้ว) เตือนไว้ก่อนเลยว่าโนมันไม่ตมธรรมดา
Megane (เมก้าเนะ) - สมาคมที่มีอยู่เพิ่มไม่ให้ แว่นตา หายไปจากโลกนี้ (พวกชอบหนุ่มสาวที่ใส่แว่น) และรังเกียจคอนแทคท์เลนส์ยิ่งนัก มีสโลแกนประจำกลุ่มเป็นที่เลื่องลือว่า "สาวแว่น สุดยอดดดดดดดดดด!!!"
Megami (เมก้ามิ หรือ เมงามิ ) - พวกชอบเทพธิดา นางฟ้า ชาวสวรรค์ อะไรเทือกนี้
Kemono (เคโมโนะ หรือ เคโมะ) - คนที่ชอบ พวกครึ่งคนครึ่งสัตว์ หรือ สัตว์ที่มีลักษณะคล้ายคนมากกว่าสัตว์ ยืนได้ พูดได้ เป็นต้น
Mimi (มิมิ) - พวกคลั่งหู จะรวมๆใน พวกหูแมว หมา กา ไก่ (เฮ้ยๆ)
Nekomimi (เนโกะมิมิ) กลุ่มคนที่คลั่งไคล้ หูแมว และหางแมว
Inumimi (อินุมิมิ) คล้ายๆกับ Nekomimi แต่จะเป็น หูหมาหางหมาแทน - ใครชอบอินุยาฉะรู้ตัวซะว่า....
Usagimimi (อุซาหงิมิมิ) ก็เหมือนกับข้างบนอีกแหละ แต่เป็นกระต่าย
Animal (แอนนิมอล) -ตรงตัวเลย สายสัตว์เห็นๆ มีมากจนแทบล้นในเรื่อง วันพีซ
Change (เชนจ์) - พวกที่ชอบในด้านการแปลงเพศ สลับเพศ (แต่อาจจะหมายถึงพวกชอบแปลงร่างก็ได้) - เช่น รันม่า1/2 อุลตร้าแมน จตุคามของโอตาคุK Kinniku (คินนิคุ) - พวกที่ชอบจนถึงคลั่งไคล้ในมนุยษ์จำพวกที่มีกล้ามใหญ่ๆ - เช่น เคนชิโร่ บากิ คินนิคุแมน ดราก้อนบอล - (โดยส่วนใหญ่ โอตาคุจะเกลียดแนวนี้มาก แต่ไม่มีผลอะไรกับเกรียน)
Incest (อินเซสต์) - รักต้องห้าม รักระหว่างสายเลือด (พ่อลูก แม่ลูก พี่น้อง)
Siscon (ซิสคอน) - พวกบ้าพี่ชายน้องสาว [ในสายเลือดรึตามกฎหมาย]
Twincest (ทวินเซสต์) - ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าทวิน ใช่แล้ว ความรักของฝาแฝดนั่นเอง อันนี้ค่อนข้างจะสับสนกับ I ซักหน่อย คาดว่าคงแตกย่อยออกมา
Fetishism (เฟติชม์) - คือ พวกชอบสิ่งของหรือเครื่องแต่งกายเพศตรงข้าม รวมไปถึงพวกชอบแต่งกายในชุดยูนิฟอร์มต่างๆ (ชุดตำรวจ ชุดนางพยาบาล etc.)
Futanari (ฟูตานาริ) -คือ พวกที่นิยมชมชอบพวกมนุษย์สองเพศ กล่าวคือพวกผู้หญิงที่มีตุ้มน้อยนั่นเอง อาจเรียกอีกชื่อว่า Dick Girl
Sport - สายนี้ค่อนข้างจะบ้าพลังเอามันทุกอย่าง กูจะเล่นกีฬาทุกประเภท ซ้ำยังมีท่าไม้ตายเวลาจะเล่นอีก เอาก๊ะมันดิ เคยมีเพื่อนคนนึงมันทดลองจะเตะลูกจากครึ่งสนามไปที่โกลตามแบบซึบาสะ มันบ้า - คำเตือนเวลาเล่นกีฬากะไอ้พวกนี้กรุณาเอาที่อุดหูมาด้วย เพราะเสียงดังน่ารำคาญยิ่งนัก
Rider(ไรเดอร์) หรือ Masked Rider (มาสก์ ไรเดอร์) หรือ Kamen Rider(คาเมน ไรเดอร์) - สายนี้ค่อนข้างแยกตัวออกเป็นเอกเทศจากสายอื่นเนื่องจากภูมิใจในประวัติอันยาวนานของต นเองเเละพัฒนาการที่ก้าวหน้าจากฮีโร่ไร้สาระกลายเป็นฮีโร่เพื่อชีวิต-สร้างสรรค์สังคม-เน้นความรัก และเลิกกระโดดถีบโดยหันมาใช้ดาบและปืน มือถือ ติดการ์ดในการต่อสู้เเทน โดยที่ยังคงอยู่คือท่าแปลงร่างที่คนในสายนี้จะจำได้หมดไม่ว่ามันจะออกมากี่ตัวต่อกี่ ตัวก้อเถอะ - ช่วงหลังๆออกมาเยอะถึงขนาดตั้งทีมฟุตบอลได้ทีเดียวเชียว
Ranger (เรนเจอร์) - สายเพื่อนสนิท - นี้ถ้าไม่รักกันจริงคงอยู่ด้วยกันไม่ได้ คนที่อยู่สายนี้จะไม่พยายามที่จะอยู่ตัวคนเดียวเป็นอันขาดและจะทำการจับกลุ่ม 3-5 คนเข้าไว้โดยมีการกำหนดสีกันอย่างชัดเจน โดยอ้างว่าเวลาอยู่คนเดียวไม่สามารถเรียกหุ่นยนต์ออกมาได้ ซึ่งหากรวมๆ กับไรเดอร์แล้ว ก็จะถูกเรียกว่า Live Action Hero
Moe (โมเอะ = โมมมมม-เอ่อ่อ่อ่อ่) - ถ้าใครอ่าน comic party จะเคยเห็นคำนี้ตอนที่โอตาคุผู้ชายตะโกนเมื่อนเห็นมิซึกิแต่งคอสเพลย์ ใช่แล้วล่ะพี่น้อง! โมเอะเป็นคำที่ใช้เรียกผู้หญิงน่ารักๆ ออกจะสับสนกับ L พอสมควร แต่โมเอะไม่จำเป็นต้องเป็นเด็กกว่าเรา ดังนั้น โอตาคุผู้ชายหลายคนจะบ้าโมเอะกัน วิธีการวัดความโมเอะทำได้โดยให้เราจ้องดูสิ่งที่เราคิดว่าโมเอะแล้วคิดข้าวเปล่าตามแทนกับ หากกินได้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งแปลว่าโมเอะมาก บางคนให้คำนิยามของคำว่าโมเอะว่า ความรักใคร่อันวิปริตของโอตาคุ
Politics(โพลิทติคส์) - แนวล้อเลียนการเมือง ส่วนใหญ่มักจะเป็นโดจิน
Jatucharm (จตุคามฯ) -แนวใหม่ของโอตาคุเมืองไทย อีกไม่นานคงจะมีจตุคามรูปสาวน้อย ห้อยคออยู่ตามย่านสะพานเหล็ก

วันพฤหัสบดีที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

otaku

พอดีเห็นวอวี่เอาเรื่องนี่มาลงผมในฐานะที่เกือบๆจะเป็นโอตาคุ(แต่ยังไม่เป็นผมยังไม่ถึงขนาดนั้น...) ก็เลยขอเขียนตามความเข้าใจตัวเองลงไปละกัน...
-----------------------
Otaku อย่างที่หลายๆคนรู้กันคำนี้ดังเดิมแปลว่า"บ้าน"ที่มาของคำนี่ไม่ค่อยทราบเหมือนกัน(บางคนก็บอกว่ามาจาก อาการของคนที่หมกหมุ่นอะไรสักอย่างจนอยู่แต่ในบ้านไม่ยอมออกมาพบเพื่อนฝูง บางคนก็บอกว่ามาจากชื่อของอาชญากรที่บังคับให้เด็กหญิงคอสเป็นสาวน้อยสองมิติแล้วข่มขืนจนตาย(การ์ดแคปเตอร์ซากุระรึเปล่าไม่แน่ใจนะ...)บางคนก็บอกว่ามันมาจากเรื่องมาครอส ที่พระเอกของเรื่องชอบเรียกคนที่หมกหมุ่นกับอะไรสักอย่างว่าโอตาคุ...(อิจิโจ ฮิคารุนะเหรอ เนื่องจากไม่เคยดูไม่กล้าฟันธง) และอีกนาๆสาเหตุที่มา)
เอาละอย่างไรก็แล้วแต่คำ คำนี้ไม่ได้ใช้เฉพาะคนที่บ้าอนิเมชั่นหรือการ์ตูนอย่างเดียวหรอกนะมันหมายถึงคนที่หมกหมุ่นอะไรมากๆต่างหาก และหมกหมุ่นเกินขอบเขต (ประมาณไม่ออกมาสังสรรค์กับชาวบ้าน)แต่เรามักพบคนที่บ้าอนิเมชั่นและการ์ตูนเป็นส่วนใหญ่โอตาคุจึงถูกเหมารวมว่าเป็นคนเหล่านี้ไปโดยปริยาย(ทั้งๆที่จริงๆมันไม่ใช้นะ - -")
อย่างไรก็ดี...คำว่าโอตาคุเนี่ยมันเป็นคำในความหมายแง่ลบ ประมาณว่า"ไอ้บ้า"อะไรแบบนี้บางคนจึงไม่อยากถูกเรียกโอตาคุสักเท่าไรชอบให้เรียก"มาเนีย"(ประมาณว่าแฟนพันธ์แท้มากกว่า)
อดีตกาล(ใช้คำนี้เลยเหรอ) โอตาคุเป็นที่รังเกียจของสังคม แต่ปัจจุบันความเกลียดชังถูกลดทอนลงไปบ้าง ที่ญี่ปุ่นจึงมักพบเห็นเหล่าโอตาคุได้ส่วนใหญ่ในอากิบาฮาระ
ภาพลักษณ์ของโอตาคุละคืออะไร? โดยทั่วๆไปแล้วเป็นที่เข้าใจตรงกันสากลทั่วโลกอิมเมจทั่วๆไปของโอตาคุก็คือตัวอ้วนๆ ใส่เสื้อลายอนิเมะสะพายกระเป๋าลายอนิเมะ หน้าไม่หล่อและอาจจะใส่แว่น... แต่ตามความจริงโอตาคุไม่จำเป็นต้องอย่างงั้นเสมอไปหรอกนะหน้าหล่อๆสวยๆก็อาจจะเป็นได้(รวมถึงหัว"เกรียน"ด้วย กร้ากๆๆๆ)
มีหลายต่อหลายคนเข้าใจความหมายของคำนี้ผิดนึกว่าเป็นคำที่ใช้เรียกคนที่มีความรู้เรื่องการ์ตูนสูงจนน่านับถือ เป็นความเข้าใจที่ผิดสุดๆเลยครับ ใครที่คิดแบบนั้นอ่านบทความนี่แล้วเปลี่ยนความคิดนะครับ เพราะมันเป็นการมองภาพโอตาคุที่ไม่ใช้ความจริงแม้แต่นิดเดียวและอาจจะเกิดปัญหาขึ้นเวลาไปพูดคุยกับที่เข้าใจความหมายของคำนี่คนละแบบ
บางคนก็สับสนระหว่างโอตาคุกับ ฮิคคิโคโมริ จริงๆคนสองกลุ่มนี่ต่างกันมากๆ(ไม่สิโคตรมากๆกว่า) บางคนบอกว่าเป็นโอตาคุจะมาเป็นฮิคคิโคโมริ...ก็จริงแต่ไม่จำเป็นต้องเป็นโอตาคุก็เป็นฮิคคิโคโมริได้....(ต่อไปขอเรียกฮิกกี้ละกัน พิมพ์ง่ายดี)
อย่างน้อยๆโอตาคุแม้จะเข้าสังคมกลับคนปกติไม่ได้แต่ก็มีเพื่อนเป็นกลุ่มโอตาคุไปงานการ์ตูน และบางคนกลางวันยังเป็นมนุษย์เงินเดือนซึ่งอย่างน้อยๆก็ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไปด้วยในตัว...แต่ฮิกกี้คือคนที่ล้มเหลวในชีวิตกลัวการเข้าสังคมนะครับ ใช้ชีวิตอยู่แต่ในบ้าน ในห้องไปวันๆโดยไม่ทำอะไรบางคนก็อาจจะมีชีวิตอยู่ในไซเปอร์เสปซ ไม่ก็ติดเกมออนไลน์...เอาง่ายๆคือพวกที่ไม่ทำงานทำการนั่นและ...เป็นปัญหาสังคมอันดับหนึ่งถ้าอยากรู้ชีวิตฮิกกี้ขอแนะนำการ์ตูนเรื่อง "NHK สมาคมคนหนีโลก"ของสยามอินเตอร์คอมมิคครับ และจะได้รับรู้ชีวิตอันน่า(อนาถ)ของเหล่าฮิกกี้ (แต่ต้องทำใจกับมุขเสื่อมๆและตลกร้ายที่สุดแสนจะน่ากลัวและความอนาถเอาไว้ให้ดีนะ แต่บอกตามตรงพระเอกเรื่องนี่สุดยิดจริงๆมีความเป็นคนมากๆครับ(มันการ์ตูนปัญหาสังคมนี่หว่าไม่เหมือนคนมันก็ไม่ได้แล้ว)แต่ที่พบว่าสุดยอดเพราะพระเอกมันมีส่วนคล้ายผมนะสิ...วางใจครับผมยังไม่เป็นฮิกกี้หรอกตราบใดที่พ่อกับแม่ของผมยังถีบผมไปร.รอยู่เสมอๆ)
จบเรื่องฮิกกี้ไว้แค่นี้มาดูโอตาคุของเรากันต่อ... ส่วนมากโอตาคุหมดเงินไปกับอะไรนะเหรอ?ลืมได้เลยว่าเขาจะเอาตังค์ไปซื้อรถ,เครื่องสำอาง,เสื้อผ้าหรูๆ พวกเขามักหมดเงินไปกับสินค้าจากอนิเมทต่างๆนาๆไม่ว่าจะฟิกเกอร์ หมอนข้าง ชุดคอส มีแม้กระทั่งก.ก.นของตัวละครในอนิเมะ.... - -"
ต่อไปเป็นมุมมองของคนเขียนล้วนๆละนะครับ
โอตาคุก็คล้ายๆกับสโตกเกอร์นั่นและครับ...(ตามเก็บสินค้าของสาวน้อยสองมิติ สูบรูปภาพของพวกเธอ... แน่นอนบางทีเอาก.ก.นสวมหัวยังมีเลย)แบบนี้ไม่เรียกสโตกเกอร์แล้วจะเรียกว่าอะไรล่ะครับแต่ยังดีครับ...ที่โอตาคุจริงๆนั้นไม่สนคนจริงๆเท่าไร(เว้นโอตาคุดารา - - เอ่อที่ผมพูดถึงนี่กรณีโอตาคุอนิเมทล้วนๆครับ)เพระงั้นการเป็นสโตกเกอร์ของพวกเขาไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน...(จริงๆนะอย่างมากชาวบ้านก็มองว่าบ้าแต่เขาก็ไม่ได้ไปฆ่าใครสักหน่อย(เว้นพวกเป็นโอตาคุแล้วก่อเหตุ - - อันนั้นมันส่วนน้อย)ไม่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจก็ไม่ถูกเพราะกลางวันพวกเขาก็มนุษย์เงินเดือน(ไม่งั้นจะเอาเงินที่ไหนมาซื้อฟิกเกอร์เหล่า)แถมยังทำให้อุตสาหกรรมด้านนี้มีเงินไหลเวียนอีกด้วย แล้วถ้าบอกว่าไม่ผลิตประชากรล่ะ นั้นก็พูดไม่ได้เพราะโอตาคุอนิเมทยังมีส่วนน้อยพวกเขาไม่เพิ่มประชากรก็จริงแต่คนพวกนี้กลุ่มเล็กๆไม่ส่งกระทบต่อภาพรวมเท่าไรหรอกครับ...ไว้ถ้าคนเป็นโอตาคุราวๆ20%ของประเทศค่อยคุยประเด็นนีกันอีกครั้งนะครับ...อีกอย่างที่ญี่ปุ่นที่ดินแพงมากๆครับคิดว่าประเทศเขาคงไมได้อยากจะเพิ่มประชากรกันซักเท่าไรหรอกครับแต่ผมไม่แน่ใจนะครับ~)
ถ้าจะบอกว่าแล้วข่าวไม่ดีเกี่ยวกับโอตาคุที่ออกมาล่ะ...ก็ขอตอบว่ามีขาวก็ต้องมีดำครับมีคนดีก็ต้องมีคนชั่ว เพราะงั้นให้ดูที่ภาพร่วมครับ...อย่างโอตาคุสัก100คนก่อเหตุ2-3คนก็ยังไม่เท่าไรแต่ถ้าก่อเหตุสัก20-30คนนี่ก็ค่อยมาว่ากันอีกทีครับ แต่ก็เป็นธรรมดาของโลกและครับไอ้เรื่องดีๆนะมนุษย์ลืมง่าย แต่ไอ้เรื่องแย่ๆอะคนจำนาน - -"(รึท่านจะเถียง?)เอาง่ายๆข่าวในหนังสือพิมม์หน้าแรกๆเรื่องดีๆยังไม่ค่อยจะเห็นกันเลยครับ มีแต่ข่าวฆาตกรรมบ้างคดีข่มขืนบ้าง ข่าวสร้างสรรค์บางทีไปอยู่หน้าหลังๆ...และพอมีเรื่องอะไรกันขึ้นหน่อยก็ชอบเหมาร่วมทั้งๆที่จริงๆแล้วมันมีถึง1%รึเปล่าก็ยังไม่รู้
ทำไมคนถึงเป็นโอตาคุ...เอาประสบการณ์จริงมาตอบละกัน...
ผมคิดว่าที่คนเป็นโอตาคุเพราะผิดหวังกับชีวิตครับ อย่างบางคนชอบผู้หญิงแต่ไม่กล้าเข้าไปคุย(รูปร่างไม่ดี พูดไม่ถูกหรือมักเป็นคนที่จะต้องถูกทำให้อับอายต่อหน้าสาธารณะเสมอๆเป็นต้น)ก็ทำให้พวกเขาเกิดปมด้อยขึ้นในใจปิดกันตัวเอง อย่างบางคนถูกรังแกมาตลอดไม่มีเพื่อนอะไรคือทีพี่งของเขาละครับ...เอาง่ายๆผมจะยกตัวอย่างเด็กคนหนึ่ง(ไม่ใช้ผมหรอกนะเพระประเด็นผมซับซ้อนกว่านี้เยอะ) เด็กคนนี่หน้าตาไม่ดี ไม่มีเพื่อนและมักถูกรังแกเป็นประจำเขาแอบชอบผู้หญิงคนนึงแต่ไม่กล้าเข้าไปคุยด้วย...เขาพยามรวบรวมความกล้าสารพรักออกไปแต่ถูกตอกกลับมาแบบไร้เยื่อใย...เด็กคนนั้นเศร้ามากและบังเอิญไปเปิดหนังสือการ์ตูนเรื่องนึงขึ้นมาและเขาก็ได้เห็นภาพเด็กหญิงคนนึงที่กำลังบอกตัวเอก(แน่นอนไม่ได้เรื่องคล้ายๆเขานั่นและ)ว่า"ไม่ต้องห่วงนะฉันจะอยู่กับเธอเสมอเสริมประโยคด้วยรอยยิ้มที่งดงาม...คิดเอาละกันครับจะรู้สึกยังไง เด็กหนุ่มคนนั้นหลงรักสาวน้อยคนนั้นเข้าเต็มเป้า แน่นอนสาวน้อยสองมิติจะยิ้มให้เราเสมอ จะไม่หักหลังเรา ไม่เรียกร้องอะไรจากเราเลย บางครั้งที่คนกลายมาเป็นโอตาคุอาจจะเพราะเหตุผลง่ายๆคือ"หาสิ่งที่ต้องการแต่ไม่เคยได้รับ"มานั่นและ....
หลายคนอาจจะบอกว่ามันเป็นการหลอกตัวเอง สักวันมันก็ต้องหายไป สิ่งเหล่านั้นไม่มีจริงก็ต้องขอยอมรับครับที่พูดเนี่ยมันจริงแต่ก็ขอยืนยันต่อไปว่า"ตราบใดที่ยังใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างปกติและไม่ทำให้ใครเดือดร้อน จะเป็นโอตาคุก็ไม่มีใครว่า"
สิ่งสำคัญคือแบ่งโลกให้ถูกครับเวลาเจอผู้คนอยู่ในโลกแห่งความจริงเวลาส่วนตัวอยู่ในโลกแห่งความฝัน แค่นี้ก็ได้แล้วครับ...แต่โอตาคุส่วนมากแยกไม่ค่อยออกนะสิ...(แต่บางคนก็ออกนะ - - อย่างกลางวันเป็นมนุษย์เงินเดือนไง)
แล้วถามว่าแล้วค่านิยมล่ะ มีเพื่อนเป็นโอตาคุจะเป็นโอตาคุด้วยมั้ย? ก็ขอตอบครับว่า"ยากมาก"เนื่องจากคนกลุ่มนี่ยังมีน้อยในสังคมบ้านเรา อย่างเช่นเด็กมัธยมนั้นในโรงเรียนนึงจะมีโอตาคุสักกี่คนครับ บางโรงเรียนก็ไม่มีซะด้วยซ้ำแล้วค่านิยมในปัจจุบันนั้นจะมองคนที่เป็นโอตาคุทำนอง"ไอ้บ้า"ตามความหมายของชื่อและครับ
เฮ่อ~ เมื่อย

วันจันทร์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

ความรักของเรา3คน

ผมเป็นผู้ชายที่หลงรักผู้หญิง พร้อมกันสามคนครับ รักมาก . . . รักจนไม่รู้ว่า ผมรักใครมากกว่าใคร ... รู้แต่ว่าผม ... ไม่สามารถเลือกใคร เพียงคนหนึ่งคนเดียวได้ ไม่สามารถขาดใครคนหนึ่งคนใดได้ ผู้หญิงคนแรก เป็นคนที่คอยดูแล เอาใจใส่ ห่วงใยผมเสมอ ผมรู้ว่าเธอรักผม มากกว่าชีวิตของเธอเสียอีก หลายปีมาแล้ว ที่เธอทำงานหนักเพื่อผม ทำงานหนักยิ่งกว่าคนรับใช้ผมเสียอีก แม้บางครั้งเธอดูจะจู้จี้ขี้บ่นไปบ้าง . . . แต่ทั้งหมดทั้งสิ้น ผมรู้สึกได้ด้วยหัวใจว่า . . . ผมเป็นคนที่เธอรักที่สุดในโลก ถึงแม้ว่าในนาทีนี้ เราจะอยู่ห่างไกลกันบ้าง . . . แต่เธอ . ยังอยู่ในหัวใจของผมเสมอ ผมยังจำอ้อมกอดอันอบอุ่นของเธอ สายตาอันอ่อนโยน . . . หัวใจที่พร้อมจะร้องไห้ เมื่อเวลาที่ผมเจ็บปวด ผู้หญิงคนที่สอง เป็นคนที่ผมใกล้ชิดที่สุดคนนึง ในวันนี้ . เธอเป็นกำลังใจให้ผมต่อสู้ เป็นที่ปรึกษา เวลาที่ผมมีปัญหา เป็นคนที่ผมยอมที่จะแสดงความอ่อนแอออกมาให้เห็น. . . เธอเป็นคนแรกที่จะยื่นมือมาดึงให้ผมลุกขี้นในวันที่ผมพลาดล้มลง และเมื่อผมเงยหน้ามาสบตากับเธอ ผมก็จะรู้ในทันทีว่า ผมจะต้องสู้ต่อไป ผู้หญิงคนที่สาม ร่าเริง บริสุทธิ์ ดวงดาอันซุกซนของเธอ ทำให้ผมมีรอยยิ้มได้เสมอ แม้ในเวลาที่แสนเหน็ดเหนื่อย ผมรู้สึกถึงการมีความสุขที่สุดในโลกเมื่อมีเธออยู่ในอ้อมกอด ผมชอบแอบมองเธอเวลาเธอนอนหลับ ชอบแอบสูดดมเส้นผมของเธอ กลิ่นยาสระผมจาง มันทำให้ผมมีความสุขเหลือเกิน เธอเป็นคนที่ทำให้ผมรู้สึกแทบตายเมื่อเห็นเธอเจ็บปวด คำพูดเพียงคำสองคำของเธอ สามารถทำให้โลกทั้งโลกสว่างสดใสอย่างไม่น่าเชื่อ ในความรู้สึกของผม ผมคงรู้สึกว่า ผมเป็นคนที่มีความสุขที่สุดในโลกได้ . . . ถ้าวันนึงผมกลับมาถึงบ้าน แล้วพบเธอทั้งสามคน อยู่ในบ้านผมพร้อม ๆ กัน ผมคงเป็นคนที่มีความสุขที่สุดในโลก ที่ได้ยินเพียงคำพูดบางคำ " หิวมั๊ยลูก " ... " เหนื่อยมั๊ยค๊ะที่รัก " .. " หนูคิดถึงพ่อค่ะ "

ความรัก

"วันนี้...เราอาจจะรู้สึกผูกพันต่อสิ่งหนึ่ง...จนเราคิดว่าเราขาดไม่ได้...แต่เวลาจะทำให้ทุกอย่างเปลี่่ยนแปลงไป
สักวัน...เราจะรู้ว่า สิ่งที่เราผูกพันในวันนี้ เป็นแค่ส่วนหนึ่งที่เติมชีวิตชีวา ไม่ใช่...ทั้งหมดของชีวิตเรา
วันหนึ่ง...หากเรามีโอกาสได้เจอสิ่งที่ถูกใจสิ่งใหม่ ที่เราคิดว่าเราพึงใจ...ปราถนา...ต้องการ...ขาดไม่ได้
เราก็จะเริ่มผูกพันกับสิ่งใหม่ได้ในเวลาไม่นานนัก... เมื่อเวลาหนึ่งผ่านไป...จะสอนเราได้เองว่า...
ความผูกพันกับสิ่งใดๆในช่วงเวลาหนึ่ง จะเป็นความสุขเวลานั้น อย่าไปยึดติด...อย่าได้ไปใช้ชีวิตทั้งชีวิตลุ่มหลง
คิดเสียว่า...เราโชคดี...ที่มีโอกาสได้ผูกพันกับสิ่งที่เรารัก ความรักผูกพันก็เหมือนกับความรักหรืออาจจะเป็นผลพวงที่มาจากความรัก
หากเรารักใครคนใดคนหนึ่งมาก เราก็จะมีรู้สึกว่า...ผูกพันมาก แต่ความผูกพันที่ว่า... ไม่ได้หมายถึงการหยุดตัวเอง...ไว้กับสิ่งนั้นๆ
เพราะคนเราทุกคนย่อมผูกพันกับหลายๆสิ่ง เปรียบเทียบเสมือน...เรามีน้ำอยู่แก้วหนึ่งใบ
ในยามเช้า...เราอาจต้องใช้แก้วใบนี้ดื่มนม พออากาศร้อนหน่อย เราอาจต้องการน้ำเย็นๆ บางครั้งเราอาจไม่สบาย เราอาจต้องการน้ำอุ่น
ใจเราก็เหมือนแก้วน้ำ...ต้องเติมสิ่งต่างๆในเวลาที่แตกต่างกัน ตามความเหมาะสม...
หากเราเติมน้ำเย็นลงไปในแก้วน้ำ แล้วเติมน้ำร้อนลงในทันที ในแก้วใบเดียวกัน เราก็อาจจะพบว่า...แก้วใบนั้นก็จะร้าว
แล้วก็เริ่มแตก... ซึ่งก็เหมือนใจเรา ความผูกพันธ์ต่อสิ่งหนึ่งสิ่งใด ในช่วงเวลาหนึ่ง... ไม่ผิด ถ้าเราค่อยๆปรับใจ ปรับตัวของเราเอง

***โอกาสได้ผูกพัน...ซึ่งก็เหมือนเรามีโอกาส...ได้รักนั้นเอง***